ดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติก | มิติใหม่ของดนตรีในศตวรรษที่ 20

ก่อนที่จะกล่าวถึงดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติก ว่ามันคืออะไร มันใหม่อย่างไร หรือสามารถนำไปใช้งานอะไรได้นั้น Lab 5 Soundworks ขออาสาพาทุกคนไปรู้จักที่มาที่ไปของดนตรีชนิดนี้กันก่อนดีกว่า
ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การปฏิวัติอุตสาหกรรม เทคโนโลยี มีผลอย่างมากต่อวงการศิลปะ มีกลุ่มศิลปินหัวสมัยใหม่ (Modernism) เริ่มหาสุนรียะใหม่ๆ ให้กับศิลปะ ดนตรีก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ศิลปินและนักประพันธ์หลายท่าน พยายามหาสุนทรียศาสตร์ของเสียงใหม่ ที่แตกต่างไปจากกฏเกณฑ์เดิมๆ จะว่าไปเสียงเครื่องจักรและความเป็นระบบอุตสาหกรรมก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ดนตรีในยุคคลาสสิคหรือโรแมนติกเลย ด้วยเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นบวกกับยุคที่ยุโรปมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม นักดนตรีหัวก้าวหน้าอย่าง ลุยจิ รัสโซโล่ (Luigi Russolo) ได้สร้างเครื่องดนตรีที่จำลองเสียงของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นมา และให้ชื่อว่า Intonarumori นอกจากนี้ลุยจิ รัสโซโล่ ยังได้เขียนหนังสือ Art of Noise ขึ้นมา เนื้อหาภายในเกี่ยวกับปรัชญาใหม่ๆ ที่มีต่อเสียงรบกวน หรือที่เรียกว่า Noise รวมถึงจำแนกประเภทต่างๆ ของเสียงตามลักษณะของเสียงด้วย ปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ของเสียงรูปแบบใหม่นี้เอง ทำให้ดนตรีแตกแขนงออกไปหลายสาขามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ
"ดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติก"

สิ่งประดิษฐ์ของลุยจิ รัสโซโล่ "Intonarumori"
เอาล่ะ เมื่อเราเข้าใจจุดกำเนิดของดนตรีแขนงนี้กันแล้ว มาดูกันต่อว่าดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติก คืออะไร
อิเล็กโทรอะคูสติก เป็นคำที่ใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงสัญญาณจากเสียงไปเป็นไฟฟ้า วิธีการเปลี่ยนเสียงทั่วๆ ไปเป็นสัญญาณไฟฟ้า ทำได้ง่ายๆ โดยการบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟนและแปลงสัญญาณจากไฟฟ้าผ่านลำโพงกลับกลายเป็นเสียงอีกครั้ง รวมไปถึงการประมวลผลต่างๆ ผ่านกระบวนการทางไฟฟ้า ทั้งการสังเคราะห์เสียงขึ้นมาใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะ เนื้อเสียง ความสั้น-ยาว หรือความหนาแน่นของเสียงให้มีความหลากหลายมากขึ้น เมื่อมีการจัดวางเสียงเหล่านั้นอย่างมีศิลปะแล้ว ก็จะถูกเรียกว่า “ดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติก” หรือ “ดนตรีที่มีส่วนผสมของไฟฟ้า” นั่นเอง

การเปลี่ยนแปลงสัญญาณเสียงผ่านกระบวนการทางไฟฟ้า
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในช่วงศตวรรษที่ 20 อย่าง เครื่องเล่นแผ่นเสียง เทปบันทึกเสียง อุปกรณ์ในการขยายเสียง อย่างไมโครโฟน ลำโพง หรือแม้แต่เครื่องสังเคราหะ์ต่างๆ เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น จอห์น เคจ (John Cage) นักประพันธ์ นักทฤษฎีดนตรี นักเขียนและศิลปินชาวอเมริกัน ผู้สนใจในดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติกและค้นพบทฤษฎีอินดีเทอร์มิเนซี (indeterminacy) ถือเป็นศิลปินคนแรกที่นำเอาความเป็นไปได้ของการผสมผสานดนตรีแบบแผนตะวันตกเข้ากับดนตรีที่ผลิตจากกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในปีค.ศ. 1939 เขาได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อว่า Imaginary Landscape No.1 สำหรับ เปียโนที่อุดสาย (muted piano) ฉาบ และเครื่องเล่นแผ่นเสียง 2 เครื่อง โดยให้เครื่องเล่นแผ่นเสียงผลิตเสียงที่เรียกว่า ไซน์เวฟ (sine wave) โดยผู้เล่นแผ่นเสียงจะสร้างเสียงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงและเข็มของเครื่องเล่นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเปลี่ยนความช้า-เร็วของแผ่นเสียง หรือเปลี่ยนระดับเสียงของไซน์เวฟ เป็นต้น
ต่อมาในปีค.ศ. 1948 ปิแอร์ แชฟเฟอร์ ได้คิดค้นดนตรีที่เรียกว่า มิวสิคคงเคร็ต (Musique Concrète) ขึ้นมา โดยเน้นไปที่การนำเสียงจริงที่ถูกบันทึกมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์บทประพันธ์ เขาได้ก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า GRMC (Groupe de Recherche de Musique Concrète) ขึ้นมาร่วมกับปิแอร์ อองรี (Pierre Henry) และ ฌาคส์ ปูแลง (Jacques Poullin) เพื่อสร้างสรรค์และวิจัยดนตรีประเภทนี้โดยเฉพาะ รวมถึงก่อตั้งสตูดิโอในการทำงานที่เกี่ยวกับอิเล็กโทรอะคูสติกเป็นแห่งแรก ทั้งนี้ปิแอร์ แชฟเฟอร์ยังได้อธิบายวิธีการฟังดนตรีมิวสิคคงเคร็ตไว้ด้วย โดยเรียกวิธีการฟังนี้ว่า “อะคูสแมติก (Acousmatic)” ประโยชน์ของการฟังในลักษณะนี้ก็เพื่อให้เราจดจ่ออยู่กับเสียงนั้นๆ โดยไม่ต้องนำสิ่งที่เห็นมาตีความ ทำให้เรารับรู้ถึงเนื้อเสียงแท้ๆ เสียงที่ว่าอาจเป็นได้ทั้งเสียงเครื่องดนตรี เสียงธรรมชาติ หรือเสียงที่ผ่านการสังเคราะห์ก็ได้ ตราบใดที่เราไม่เห็นที่มาของเสียงก็สามารถเรียกว่า Acousmatic ได้ทั้งหมด ซึ่งปิแอร์ แชฟเฟอร์ ได้นำคำว่า Acousmatic มาจากคำในภาษากรีก มีจุดเริ่มต้นมาจากปีธากอรัส นักปราชญ์ชาวกรีก ที่สอนลูกศิษย์อยู่ด้านหลังผ้าม่านโดยที่ลูกศิษย์จะได้ยินเพียงเสียงและไม่สามารถมองเห็นตัวของเขาได้

ปิแอร์ แชฟเฟอร์ และห้องทำงานมิวสิคคงเคร็ต (GRM) สุดล้ำ
นอกจากนี้ยังมีศิลปินหัวก้าวหน้าอีกหลายๆ ท่านที่หันมาทดลองกับเสียงที่ถูกบันทึกไว้ อาทิเช่น โอลิวีเย่ร์ เมซิออง (Olivier Messiaen), ปิแอร์ บูเลซ์ (Pierre Boulez), เอียนนิส เซนาคิส (Iannis Xenakis), และคาร์ลไฮนส์ สต็อกฮาวเซ่น (Karlheinz Stockhausen) เอียนนิส เซนาคิส ได้สร้างสตูดิโอของตัวเองขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และในปีค.ศ. 1977 บูเลซ์ ก็ได้ก่อตั้งห้องปฏิบัติการทางเสียงขึ้นอย่างใหญ่โตภายใต้ชื่อ IRCAM (Institue de Recherche et Coordination Acoustique/Musique) ณ กรุงปารีสเช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกันนี้เองที่ประเทศเยอรมนี สต็อกฮาวเซ่นได้นำแนวคิดของมิวสิคคงเคร็ต มาสร้างสรรค์ดนตรีที่มีผลลัพธ์ทางเสียงที่แตกต่างจากมิวสิคคงเคร็ต และให้ชื่อว่า “อิเล็กทรอนิสช์ มูซิค” (Elektronische Musik) โดยเริ่มต้นด้วยการสร้างเสียงที่มาจากการสังเคราะห์ขึ้นจากวงจรไฟฟ้า เสียงที่ผลิตขึ้นนั้นถูกเรียกว่า “ไซน์เวฟ” สต็อกฮาวเซ่นและเฮอร์เบิร์ต อิเมิร์ต (Herbert Eimert) กล่าวว่า เสียงไซน์เวฟที่ได้ คือเสียงที่บริสุทธิ์ จากจุดนี้เองทำให้เกิดการสร้างดนตรีแบบใหม่ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกฏเกณฑ์ทางโครงสร้างและเนื้อเสียงในรูปแบบเดิมๆ ของดนตรีคลาสสิคที่ใช้เครื่องดนตรีเล่น และด้วยความแตกต่างกันของระดับเสียง (คลื่นความถี่) และความดัง-เบาที่ผสมผสานกันของเสียงไซน์เวฟนั้น นำไปสู่เนื้อเสียงแบบใหม่ๆ ในสมัยนั้นงานเหล่านี้ถือเป็นงานที่อาศัยความพยายามอย่างมาก เนื่องจากในสตูดิโอมีเพียงเครื่องสร้างเสียงไซน์เวฟ (sine wave oscillator) อยู่ไม่กี่เครื่อง อีกทั้งยังมีขนาดที่เทอะทะและราคาที่สูงอีกด้วย ความยากอีกอย่างก็คือ เครื่องสร้างเสียงนี้สามารถผลิตเสียงได้ครั้งละ 1 เสียงต่อ 1 ระดับเสียง (คลื่นความถี่) มีเพียงแต่ความดัง-เบาเท่านั้นท่ีสามารถปรับได้หลายระดับ ซึ่งการสังเคราะห์เสียงในแต่ละครั้ง สต็อกฮาวเซ่นต้องทำการบันทึกเสียงในเวลาเดียวกันด้วย

ห้องทำงานของสต็อกฮาวเซ่น
จากการทดลองและเรียนรู้ดนตรีทั้งในรูปแบบมิวสิคคงเคร็ตและอิเล็กทรอนิสช์ มูซิค ทำให้สต็อกฮาวเซ่นผสมผสานดนตรีทั้งสองอย่างนี้เข้าไว้ด้วยกัน ในปีค.ศ. 1955 เขาได้รับข้อเสนอจาก WDR (Westdeutscher Rundfunk) ซึ่งเป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเยอรมนีให้ประพันธ์เพลงรูปแบบใหม่ สต็อกฮาวเซ่น จึงได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดจากการผสมดนตรีทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันแต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนักในครั้งแรก อีกทั้งยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ออกมาอย่างสมบูรณ์ ภายใต้ชื่อ “เกสาง เด ยึงกลิง” (Gesang der Jünglinge) ที่แปลว่า บทเพลงของหนุ่มสาว (Song of the Youths)
การใช้เสียงที่ถูกบันทึกลงในเทป มาสร้างสรรค์เป็นดนตรี โดยถ่ายทอดเสียงดนตรีให้แก่ผู้ฟังผ่านลำโพงนั้น มีต้นกำเนิดมาจากกลุ่มมนักประพันธ์ดนตรีหัวก้าวหน้าทั้ง 2 กลุ่ม อย่าง มิวสิคคงเคร็ตในประเทศฝรั่งเศสและอิเล็กทรอนิสช์ มูซิค ในประเทศเยอรมนีซึ่งนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์ดนตรีอิเล็กโทรอะคูสติกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
จะว่าไปแล้ว ดนตรีชนิดนี้ก็ไม่ได้เป็นดนตรีที่ใหม่อะไร เพราะเกิดขึ้นมากว่า 70 ปีแล้ว อย่างไรก็ดีดนตรีอิเล็ก-โทรอะคูสติกก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของดนตรีในศตวรรษที่ 20 ที่ช่วยเปิดพื้นที่ในการสร้างสรรค์เสียง ให้มีสีสันหลากหลายมากขึ้น ไว้คราวหน้ามาดูกันว่า ยังมีดนตรีแบบไหนบ้างที่เป็นส่วนหนึ่งของดนตรีที่เรียกว่า ดนตรีอิเล็ก-โทรอะคูสติก แล้วดนตรีประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับอะไรได้บ้าง โปรดติดตามใน Blog หน้าของ Lab 5 Soundworks นะคะ
ศิลปินที่เกี่ยวข้อง

Bernard Parmegiani | Denis Smalley | Edgard Varèse | Francis Dhomont | François Bayle |
Iannis Xenakis | Karlheinz Stockhausen | Luc Ferrari | Luigi Russolo | Michel Chion
| Olivier Messiaen| Pierre Boulez | Pierre Henry | Pierre Schaeffer